ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ธรรมะ

๗ ธ.ค. ๒๕๕๒

 

ธรรมะ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบปัญหาธรรม วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

พูดถึงธรรมะ ธรรมะเป็นสากล ถ้าธรรมะเป็นสากล ธรรมะเข้าได้ทุกที่ ธรรมะเข้าได้ทุกที่นะ แต่พูดถึงถ้ามันเป็นธรรมะของส่วนบุคคล มันเข้าใครไม่ได้ เข้าใครไม่ได้เพราะมันเป็นธรรมะของเรา เราเข้าไม่ได้ ถ้าธรรมะเป็นสากล เห็นไหม ธรรมะเป็นสัจจะความจริง แล้วเป็นสากล มันไม่เป็นสากลธรรมดานะ

ถ้าเป็นธรรมจริง ดูสิ เทวดา อินทร์ พรหม มาฟังธรรม ถ้าเทวดา อินทร์ พรหมนะ ใครจะไปแหกตาเทวดา อินทร์ พรหมได้ อย่างเช่น โสดาบัน พระโสดาบันเห็นไหม ดูสิ ถ้าไม่เกิดอีก ๗ ชาติ ไม่เกิดอีก ๗ ชาติ มันเกี่ยวกับอะไร ? มันเกี่ยวกับเทวดานะ เกี่ยวกับภพชาตินะ เราจะไปตีค่าของเราเองไม่ได้

ถ้าเป็นธรรมะของเราเองเห็นไหม เราว่าเรารู้ธรรม เรารู้ธรรม ถ้าธรรมะของเรา เรารู้ธรรมเนี่ย เรารู้ของเราคนเดียว เหมือนกับเราเป็นนักโทษ เห็นไหม เราเป็นนักโทษ เราปฏิเสธคุก ปฏิเสธตะราง ปฏิเสธกฎหมายไม่ได้ ถ้ามันเป็นความบริสุทธิ์..ใช่ไหม กฎหมายก็บังคับเราไม่ได้ คุกตะรางเอาไว้ขังคนทำผิด ถ้าเราไม่ผิดล่ะ? ถ้าใจมันเป็นธรรมเห็นไหม มันไม่มีเหตุผลจะต้องไปติดคุก มันไม่ผิดกฎหมาย

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเป็นโสดาบันนะ ตั้งแต่สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสเห็นไหม นี่สักกายทิฏฐิ ความทิฏฐิมานะอันนี้มันไม่มี มันไม่ขวาง พอมันไม่ขวาง มันผ่านไปอย่างไร? เวลาไปเกิดเป็นเทวดาเนี่ย ทำไมเทวดาอริยภูมิมีล่ะ? เราจะบอกว่ามรรคผลเรานี่นะ มันสะเทือนถึงเทวดา ถึงอินทร์ ถึงพรหม มันสะเทือนถึงชาติของมนุษย์ มันสะเทือนถึงนรกอเวจี นี่ไงมันเป็นสากลไง ถ้าเป็นสากลอย่างนี้ มันเป็นความจริง ความจริงเป็นสันทิฏฐิโก เป็นความจริงในตัวของมันเอง

ถ้ามันความจริงในตัวของมันเห็นไหม กฎหมายก็ไม่สามารถบังคับ เนี่ยกรรมเวร กรรมไม่สามารถบังคับตรงนี้ได้ ถ้าเวรกรรมไม่สามารถบังคับตรงนี้ได้ เห็นไหม กัมมพันธุ กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมมันบังคับเรา คำว่ากรรม เห็นไหม แต่ถ้าพอมันผ่านตรงนี้ไป สิ่งที่บังคับไม่ได้ ถ้ากฎหมายบังคับไม่ได้ ทุกอย่างบังคับจิตดวงนี้ไม่ได้ เพราะจิตดวงนี้ไม่มีโทษให้กฎหมายบังคับ

จิตของเราถ้ามันรู้จริงเห็นไหม สักกายทิฏฐิ ความผิดของทิฏฐิ ความเห็นอันนี้ มันไม่มี ถ้าทิฐิอันนี้มันไม่มีเห็นไหม มันเป็นสากล มันสะเทือนกันไปหมด นี่สัจจะความจริงเป็นอย่างนี้ ถ้าสัจจะความจริงเป็นอย่างนี้ ในการประพฤติปฏิบัติมันต้องเข้าใจสิ ทำไม เห็นไหม ดูสิ หลวงปู่มั่นเทวดามาฟังเทศน์ล่ะ? ทำไมหลวงปู่มั่นท่านเข้าใจล่ะ?

หลวงตาท่านพูดเอง ท่านบอกว่าท่านไปอยู่ที่หนองผือใช่ไหม? อยู่ที่หนองผือไง มีคนเป็นโรคเสียดอกตายบ่อยมากเลย ตายแล้วตายเล่า เห็นไหม แล้วไม่มีพระ ท่านก็ต้องไปสวด สวดๆ ไป ท่านติดเชื้อโรคนั้นเองเห็นไหม พอติดเชื้อโรคเอง มันเป็นโรคเสียดอกเห็นไหม ผลที่สุดท่านก็มาภาวนาของท่าน แล้วภาวนาของท่าน เวลาภาวนามันวิตกวิจารณ์ขึ้นมาไง มันวิตกขึ้นมา มันวิตกวิจารณ์ของมันขึ้นมาเห็นไหม ไม่อยากตาย ยังไม่อยากตาย

นี่ไง มันเป็นสากลเห็นไหม ท่านบอกท่านยังไม่อยากตาย เพราะถ้าท่านตายไปมันยังคาอยู่ก็ไปเกิดเป็นพระอนาคามี ไปเกิดเป็นพรหมไง คือยังไม่สิ้นสุดแห่งทุกข์ เนี่ยมันเป็นสากล มันรู้ไง รู้ว่าถ้าตายอย่างนี้ไปเกิดเป็นพรหมนี่คือพระอนาคามี พรหม ๕ ชั้นตั้งแต่ชั้นสุทธาวาสขึ้นไป แต่เมื่อยังไม่เกิด สิ่งที่ยังเกิดในใจมันมีเห็นไหม สิ่งที่ไปเกิดในใจยังมี มันยังมีเวรมีกรรมส่วนละเอียดบังคับอยู่

ถ้ามีเวรมีกรรมส่วนละเอียดบังคับอยู่ มันต้องใช้เวรใช้กรรมนั้น ถ้ามันใช้เวรใช้กรรมนั้นเห็นไหม มันถึงต้องประพฤติปฏิบัติต่อเห็นไหม ถ้าประพฤติปฏิบัติต่อเวลาจิตมันเสวยอารมณ์ แล้วมันปล่อยเห็นไหม เนี่ย ว่าง จิตมันเสวยอารมณ์ มันปล่อย เอ๊ะ! ถ้าว่างอย่างนี้ไม่ใช่พระอรหันต์หรือ? เห็นไหม อย่างนี้ก็ไม่เอา อย่างนี้ก็มีความสงสัยเหมือนกัน

ความสงสัยว่าสิ่งนี้มันมีอยู่ สิ่งนี้มันมีผลทางกฎหมาย แล้วกฎหมาย คือ สัจธรรม สัจธรรมบอกว่าสิ่งนั้นผิดสิ่งนี้ถูก แต่นี้ไม่รู้ว่าผิดหรือถูก แต่สงสัยเห็นไหม เพราะไม่รู้ว่าผิดไม่รู้ว่าถูก..อย่างนี้ไม่ใช่นิพพานหรือ? ไม่รู้ผิด รู้ถูก ถ้าไม่รู้ผิด รู้ถูก มันก็ยังต้องให้ศาลตัดสิน เพราะว่ามันมีผิดและถูกสองฝ่ายที่มันโต้แย้งกัน

แต่ถ้าเป็นความจริง มันไม่มีตรงนี้เลย ถ้ามันไม่มีตรงนี้ขึ้นมา สิ่งที่ไม่มีตรงนี้เลย นี่สัจธรรม มันเป็นสากลอย่างนี้ ถ้าผู้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันมีเหตุมีผลของมันขึ้นมา ถ้ามีเหตุมีผลของมันขึ้นมา มันเข้าได้หมดไง แต่นี้มันมีเหตุมีผลขึ้นมา เราว่าเราบรรลุธรรมกัน เราเข้าใจธรรมะกัน เราปฏิบัติธรรม ได้ธรรมกัน ได้ธรรมของใคร? ได้ธรรมของตัวเราเอง เราคิดของเราเองไง เราคิดของเราเอง แล้วเทวดา อินทร์ พรหม เขารู้กับเราไหม?

แล้วถ้าเทวดา อินทร์ พรหม มันสื่อถึงกันนะ นี่ไง..เวลาธรรมะบอกว่า ถ้าเราจะ สุคโต จะไปสุคโต คือ ไปดี ทุกอย่างเป็นความดี ปัจจุบันเนี่ย สุคโตมันถึงกัน ถ้าความดีปัจจุบันนี้ดี อนาคตมันดี ทุกอย่างมันก็ดีไปหมดเลย ถ้าปัจจุบันนี้มันไม่ดี ปัจจุบันนี้ดีแค่ครึ่งๆ กลางๆ มันก็ให้ผลได้แค่นั้นล่ะ สุคโตเห็นไหม ถ้าสุคโต..เราเข้าใจ เรามีความสุข มีความเข้าใจในจิตใจของเราหมดเลย

ถ้ามีความเข้าใจในจิตใจของเราหมดเลย เทวดา อินทร์ พรหม รู้ มีคนถามบ่อยมากเลย บอกว่าหลวงปู่มั่นอยู่ในป่าเทวดารู้ได้อย่างไร? รู้สิ เพราะหลวงปู่มั่นบอกเทวดาจากเยอรมันมาฟังเทศน์นะ เทวดาจากเยอรมันมาฟังเทศน์ แล้วบอกจะรู้ได้อย่างไร? มันก็เหมือนจิตเรา พวกเรานี่มืดบอด มืดบอดด้วยอวิชชา มืดบอดด้วยความเห็นผิดของเรานะ มันครอบงำไว้อยู่ มันครอบงำหัวใจนี้อยู่

แต่ในที่มืดนะ อยู่ในป่าในเขามันมืดสนิทหมด ในป่าที่มันไม่มีไฟเห็นไหม มันจะมืดสนิทเลย แล้วถ้าหัวใจมันผ่องแผ้วล่ะ.. แล้วหัวใจมันสว่างอยู่ดวงเดียว ทำไมเทวดา อินทร์พรหม จะไม่รู้ นี่เหมือนกันถ้าจิตใจมันมีความเศร้าหมองในใจ มันไม่สุคโตเนี่ย มันไปไหนไม่ได้หรอก นี้สัจธรรม.. สัจธรรมมันเป็นความจริง แล้วมันไม่ใช่ความจริงเฉพาะเรา ความจริงเห็นไหม ความจริงถ้าพูดถึงในการปฏิบัติ มันเฉพาะเรา เฉพาะเราเพราะว่าเราต้องแก้ไขตัวเราเอง

ถ้าเราแก้ไขตัวเราเอง เรารักษาตัวเอง ถ้าตัวเราเอง เราสิ้นขบวนการเนี่ย มันเป็นปัจจัตตังมันรู้เฉพาะตนเห็นไหม รู้เฉพาะตนแต่.. แต่มันเข้ากับภพกับชาติ กามภพ รูปภพ อรูปภพ มันเข้ากันหมด มันเป็นไปได้หมด มันถึงกันหมดเห็นไหม เพราะจิตนี้เวลามันเกิดมันตาย มันเกิดตายแต่ละระดับ มันไม่สูญเปล่า มันเกิดตายแต่ละชั้น แต่ละตอนเห็นไหม เกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เกิดนรก อเวจี เกิดเป็นมนุษย์..มันเกิด

การเกิด ใจตัวนี้ที่เกิด ใจตัวนี้มันมีอยู่ในทุกสถานะเพราะเวลาไปเกิดใช่ไหม ปฏิสนธิจิตไปเกิดในสถานะนั้น พอเกิดในสถานะนั้น แต่เพราะเขามีอำนาจวาสนาของเขา เขาเลยไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เทวดา อินทร์ พรหมเนี่ย แล้วเขาก็มองเข้าใจเรื่องสภาวะของจิตได้ เพราะว่าเขาไม่มีร่างกายบังคับไว้เหมือนเรา เขามองมาที่เราไง

เห็นไหมเวลาเทวดา อินทร์ พรหม มาฟังเทศน์หลวงปู่มั่น เวลาเทศน์ครูบาอาจารย์เห็นไหม เพราะอะไร? เพราะจิตนี้มันสว่างมันผ่องแผ้ว จิตอันนี้มันไม่มีกิเลส ไม่มีอวิชชาครอบงำมันอยู่ เขาถึงมาฟังว่า แล้วทำอย่างไรถึงจะปลดไอ้พวกนี้ออกจากใจ ได้ล่ะ? วิธีการที่จะปลดออกจากใจเห็นไหม เวลามาฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ มาฟังเทศน์อย่างนี้ไง แต่ฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ เวลาฟังเทศน์แล้วแต่สูตรใครก็แล้วแต่

สูตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม? สูตรก็คือ สูตรที่ว่าเราจำมา เราจำหัวข้อนั้นมา แล้วอธิบายถูกไหม? เวลาพูดธรรมะเห็นไหม ว่าธรรมะเนี่ย ครูบาอาจารย์หรือพระทั่วไปก็พูดเหมือนกัน ใช่..พูดเหมือนกัน แต่เวลาอธิบายล่ะ อธิบายถึงเหตุผล อธิบายผิด คำว่าเหมือนกัน ใช่เหมือนกันในสูตร แต่วิธีการหรือการกระทำมันผิด มันไม่เข้าใจ มันอธิบายได้ผิดไป ถ้าผิดไป นั่นเขาเข้าใจผิด อธิบายผิด มันจะไปถูกได้อย่างไร? เพราะมันไม่มีความรู้จริง

ถ้าเป็นความรู้จริง พูดเหมือนกัน แต่อธิบายได้ถูกต้องด้วย อธิบายขยายความนั้นได้ถูกต้องด้วย มาฟังเทศน์ มาฟังเทศน์ครูบาอาจารย์อย่างนี้ พูดถึงมรรคผล เห็นไหม ธรรมะ..ธรรมะเป็นสากล ธรรมะเข้ากันได้กับทุกสรรพสิ่ง ถ้าธรรมะเข้าได้ทุกสรรพสิ่ง มันถึงอาจหาญไง ความผิดในหัวใจนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องของกิเลสของอวิชชา

แต่กว่าที่มันจะสะอาดบริสุทธิ์อย่างนี้ได้ มันต้องมาก่อน เพราะอะไร? เพราะพวกเราเกิดมาเป็นมนุษย์เห็นไหม เกิดเป็นมนุษย์เพราะอวิชชาพาเกิด ถ้าอวิชชาพาเกิด อวิชชาพาเกิดมาแล้ว แต่ในจิตมันมีสิ่งที่เราจะเลือก เราจะเลือกวิถีชีวิต เราจะเลือกการกระทำของเราว่า เราจะไปทางไหน ถ้าเราไปทางไหน เราเลือกที่นี่เราก็แก้ไขที่นี่ ถ้าแก้ไขที่นี่ มันก็จบกันที่นี่ได้

ถ้าแก้ไขที่นี่ไม่ได้มันก็ยังขับดันต่อไป ถ้ามันขับดันต่อไป ตัวจิตเนี่ยที่เรื่องอันนี้ที่มีอวิชชา แล้วเรามาพบพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนอย่างไร? เรามีความเชื่อไหม? ดูสิ ทางโลกเขาจะทำงานกัน เขาต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือของเขาในการทำงาน ทุกวิชาชีพเขาต้องมีเครื่องมือของเขา มันมีทางวิชาการของเขา แล้วพูดถึงเวลาเราประพฤติปฏิบัติล่ะ! สิ่งใดที่มันเป็นสติปัญญา ที่ว่าสติปัญญา สติปัญญากัน มันสติปัญญามา จากไหน? มันเอาอะไรมาเป็นสติปัญญา

สิ่งที่เกิดขึ้นมา มันก็เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งนั้นล่ะ แต่ถ้ามันเป็นสติปัญญาจริง สติปัญญาจริงมันต้องเข้ามาชำระจริง ธรรมะแก้ไขได้จริง ถ้ามันชำระจริงแก้ไขได้จริง มันเริ่มต้นพื้นฐานเป็นอย่างไร? พื้นฐานของมันต้องมีของมัน ถ้าพื้นฐานมันมี มันจะแก้ไขเราเข้ามานะ พื้นฐานของมันมี มันจะแก้ไขเข้ามา

เนี่ยที่ศาสนาเรียกว่าองอาจกล้าหาญ ที่พระพุทธเจ้าบอกไม่ให้เชื่อใครเลย ไม่ให้เชื่อใครเลย ไม่ให้เชื่อแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อ เพราะความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ แต่เริ่มต้นมรรค ธรรมอย่างหยาบ ธรรมอย่างละเอียด เพราะถ้าธรรมอย่างหยาบๆ พวกเราเชื่อ เชื่อเป็นวัฒนธรรมประเพณีเลยนะ แล้วประเพณีท้องถิ่นแต่ละพื้นที่ก็ไม่เหมือนกัน

การเคารพบูชาวัฒนธรรมเห็นไหม เราดูวัฒนธรรมสิ เราเป็นชาวพุทธด้วยกัน นี่แหละ แต่ไปในพื้นที่เขาเคารพบูชาของเขา เราต้องให้เกียรติเขา เราให้เกียรติเขาเพราะความเชื่อ มันเป็นวัฒนธรรมของเขา มันเป็นประเพณีของเขา นี่ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ แต่ความเชื่อทำให้คนมีหลักยึด ความเชื่อทำให้คนไม่ไหลไปตามกิเลส ไม่ไหลไปตามกระแสโลกเห็นไหม

ดูกระแสโลกมันแรงขนาดนี้ คนที่มันไหลไปตามกระแสโลก ถ้าเรามีวัฒนธรรมประเพณีของเรา มันจะยึดให้เราอยู่ใกล้พุทธศาสนา นี่วัฒนธรรมความเชื่อ แต่ถ้าเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาล่ะ ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ เห็นไหมกาลามสูตร ต่อเมื่อคนที่มีหลักมีเกณฑ์แล้ว กาลามสูตรจะได้ประโยชน์มาก

แต่ถ้าเป็นกิเลสมันใช้ เห็นไหม พุทธศาสนาสอนให้ปล่อยวาง สอนให้เป็นความว่าง มันก็เลยเป็นขี้ลอยน้ำ เห็นไหมมันเลยใช้ประโยชน์ไม่ได้กับกิเลสไง พอกิเลสบอกไม่ให้เชื่อไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อก็ไม่ทำอะไรเลย ไม่ให้เชื่อ มันบังคับไหมล่ะ สีเลนะ สุขะติงยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา การจะถือศีล เห็นไหม ศีลมีโภคทรัพย์ ศีลทำให้เรามีโภคทรัพย์ ทำให้เรามีความสุข

เนี่ย มันต้องเชื่อมันต้องยึดไว้ก่อน มันยึดไว้ก่อน นี่ก็เหมือนกันความเชื่อเป็นอริยทรัพย์ เป็นศรัทธาให้เราเข้าพุทธศาสนา แต่ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ ความเชื่อนั่นน่ะ ถ้าเป็นความเชื่อ เป็นวัฒนธรรมหรือ แต่เป็นวัฒนธรรมก็ยึดเลย เป็นกรอบเลย แล้วจะแหกกฎวัฒนธรรมไม่ได้เห็นไหม คิดนอกกรอบ คิดนอกกรอบมันอยู่ตรงนี้ คิดว่าวัฒนธรรมมันอยู่ที่การประพฤติปฏิบัติ เวลาเราเข้าสังคม

แต่เวลาจิตเราเป็นล่ะ เวลาเราขึ้นมาของเราในหัวใจ เราจะมีสูตรสำเร็จได้ไหม? เราต้องแหกกฎหมดเลย เวลาขั้นของปัญญา หลวงตาพูดอย่างนี้นะ เวลาขั้นของปัญญาไม่มีขอบเขต เวลาขั้นของศีลเห็นไหม ขั้นของศีล ศีลคือปกติของใจ ขั้นของสมาธิ สมาธิน้ำล้นแก้ว สมาธิได้แค่นั้นล่ะ น้ำล้นตุ่ม มันอยู่อย่างนั้นล่ะ แต่ถ้าเป็นขั้นของปัญญานะ ไม่มีขอบเขตเลยเพราะกิเลสมันเป็นนามธรรมที่มันซุก มันซ่อน มันดิ้นรน มันหาที่หลบที่ซ่อนของมัน เห็นไหม

เราถึงจะต้องมีสติปัญญาไล่ตามมันเข้าไป ไล่ตามมันเข้าไป ไล่ตามเข้าไปนะ ขั้นของปัญญาไม่มีขอบเขต มันถือวัฒนธรรมเป็นความเชื่อ เป็นขอบเขตที่ว่า ทำอย่างนั้นก็ไม่ได้นะ ทำอย่างนี้ไม่ได้นะ แล้วเวลาครูบาอาจารย์ของเรา โอ้โฮ! ธรรมนะ หลวงปู่มั่นเวลาท่านพลิกแพลง เวลาจะต่อสู้กับมันนะ มันพลิกแพลง

นี่ก็เหมือนกันนะหลวงตาท่านบอกเลย คนเรานี่ปัญญาจะเกิดตอนจนตรอกนะ คนจนตรอกจนมุม อดอาหารนั่งตลอดรุ่ง เวลามันเข้าไปวิกฤติขึ้นมาปัญญามันเกิดนะ มันจะต้องเอาตัวรอดให้ได้ มันพยายามจะเอาตัวรอดของมัน เนี่ยปัญญามันจะเกิด คำว่าพยายามเอาตัวรอด เพราะอะไร? เพราะจิตมันมีหลักมีฐานใช่ไหม? เพราะเราทำสมาธิขึ้นมา เราเคยนั่งต่อสู้กับเวทนาของเราเข้ามา แล้วเวทนามันเกิดขึ้นมาขนาดไหนล่ะ? ถ้าจิตมันมีกำลังเพราะว่ามันมีสมาธิขึ้นมา มันจะมีหลัก

ถ้าจิตไม่มีกำลัง เราต้องกลับมาพุทโธเห็นไหม การต่อสู้กัน ถ้าจิตใจยังไม่เข้มแข็งพอ มันมีนักหลบ หลบก่อน หลบเพื่อให้มันไม่เข็ดขยาด หลบเพื่อให้มันมีกำลังของมัน แต่ว่าถ้ามีกำลัง เพราะมีสมาธิเป็นพื้นฐานเข้ามา มันต้องเข้าเผชิญหน้า เข้าเผชิญหน้ากับมัน เข้าเผชิญหน้า นี่ไง ปัญญาจะเกิด เกิดต่อเมื่อมีวิกฤตินะ คนเราไม่ใช่โง่หรอก

หลวงตาพูดประจำว่า คนเราไม่โง่นะ เวลาถึงคราวจำเป็นขึ้นมา มันหาทางออก มันดิ้นรนของมันจนได้ แล้วจิตมันมีกำลังของมันอยู่แล้ว จิตมันมีฐานของมันอยู่แล้ว เวลามันดิ้นรนของมันนะ ปัญญามันเกิด ถ้าปัญญามันเกิด นี่ไงมันไม่มีขอบเขต ขั้นของปัญญาไม่มีขอบเขต มันจะลงดิ่งลงลึกขนาดไหน จะสู้กับมันขนาดไหน สู้กับมันแล้วถึงที่สุดเวลามันสู้เข้ามา มันเห็นผลไง

เวลาจักรมันหมุน ธรรมจักรมันหมุน พอจักรมันหมุนมันจะเห็นผลเลย โห ! มันว่างมันปล่อยวางขนาดไหน ไอ้ว่าง ๆๆๆ ที่เขาคุยกัน มันไม่มีเหตุมีผลรองรับ พอไม่มีเหตุมีผลรองรับ มันจะพูดแต่ว่าง พูดแต่ผล พูดแต่ผลจะเป็นอย่างนี้ ทำประโยชน์แล้วเป็นอย่างนี้ ง่ายๆ อย่างนี้ ใช่ มันง่ายๆ ก็เหมือนเราไปธนาคารน่ะ เห็นเงินธนาคารไหม แบงก์มันตั้งเป็นตั้งๆ เลยนะ ไม่รู้เงินใคร

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีหมด รู้หมด ว่างๆ มันรู้ไปหมด แต่วิธีการที่ทำมันไม่มี แล้ววิธีการทำมันไม่มี มันมาจากไหน? มันเป็นไปไม่ได้หรอก แล้วอย่างคนทำนะ อย่างพวกเราทำมาหากิน โอ๊ย! เก็บหอมรอมริบนะ ตระกูลใดประหยัดมัธยัสถ์ ตระกูลนั้นจะทรงตระกูลอยู่ได้ ตระกูลใดใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไม่รู้จักเก็บ หอมรอมริบ ตระกูลนั้นจะทรงอยู่ได้ยาก

นี่เหมือนกัน จิตที่มีสติปัญญาที่มันรักษาของมัน หัวใจตระกูลใด? เพราะจิตมันเกิดตาย เกิดตายมาในตระกูลใด? เนี่ยในพุทธศาสนา แล้วเรามีสติสัมปชัญญะสู้กับมันขนาดไหน? ไตร่ตรองใคร่ครวญมาขนาดไหน? ตระกูลนี้เห็นไหม ตระกูลโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ตระกูลสังฆะ ตระกูลของธรรม มันจะเกิดกับเรา

ถ้าตระกูลของธรรม มันจะเกิดกับเรา มันจะมีประโยชน์ มันจะมีประโยชน์กับเรามาก เราถึงจะต้องทำอย่างนี้ เวลาจิตมันเป็น มันเข้าใจ ครูบาอาจารย์ของเรานะมันเหมือนทางโลกเห็นไหม ทางโลกเขาบอกว่าตายแล้วสูญ ชาตินี้ วิทยาศาสตร์นี่ตายแล้วไม่มี ทุกอย่างไม่มี แต่พวกเราผู้ที่ปฏิบัติมันเห็นไง มันไม่สูญเพราะอะไรล่ะ?

มันไม่สูญเพราะว่า บุพเพนิวาสานุสติญาณ มันรู้เกิดรู้ตายอยู่แล้ว เห็นๆมัน จริตนิสัยมันเห็น ถ้ามันไม่เห็น มันจะแก้กิเลสได้อย่างไร? เพราะตัวกิเลสมันตัวมืดบอด ตัวบังตา ให้จิตมันไปเกิดไปตาย แล้วถ้าจิตมันไม่เกิดไม่ตายล่ะ? ไม่เกิดไม่ตายใน ๗ ชาติ เห็นไหม โสดาบันมันสัมพันธ์กับเทวดา มันรู้เลยว่า จิตนี้มันไปเกิดที่ไหน?

เพราะมันเป็นโสดาบันพั๊บ! อืม..ถึงจะเกิดอีกรู้ว่าจะเกิดอีก แต่คนเรานี่นะ เราเป็นหนี้เห็นไหม เราเป็นหนี้แบบว่าหนี้ไม่มีตัวเลข โอ๊ย! ปวดหัวนะ คือจ่ายทั้งชาติ กี่ชาติก็ไม่หมด ตัวเลขมันไม่สิ้นสุด ดอกเบี้ยมันขึ้นตลอดเวลา แต่พอเขาจำกัดเลยนะ ประนอมหนี้ผั๊วะ! เอ็งจ่ายกูอีกเท่านี้ อีก ๗ ชาติ เออ.. สบายใจขึ้นไหม? จากที่เราต้องจ่ายที่ว่าไม่มีขอบเขต ไม่รู้อะไรเลย กับเอ็งจ่ายอีก ๗ ชาติเท่านั้น พอแล้ว ๗ ชาติอยู่ที่ไหน มันรับรู้ได้

นี่ไง จิตของโสดาบันมันรับรู้ มันสื่อสัมพันธ์กับภพกับชาติ กับเทวดา อินทร์ พรหม มันเข้าใจได้เลย แล้วสกิทาคามี อนาคามี ยิ่งอนาคามีนี่นะ กามภพไม่เกิดอีกแล้ว หรือเกิดเป็นพรหม บอกว่ามื้อนี้ไม่มีแล้ว เพียงแต่ว่าไม่มีมูลหนี้เลย เพียงแต่ว่าจะต้องเอาสัญญา เอาสิ่งต่างๆ มาที่มันร้อยรัดมาเซ็นชื่อให้ลบล้างกันไป คือ ตัวภพ ตัวจิต

ตัวจิตเห็นไหม ถ้าเป็นพรหมมันไม่มาเกิดอีกแล้ว ไม่มาเกิดในกามภพ แต่มันไปที่พรหม พรหมนั้นมันสุขไปข้างหน้าไง จะไม่ย้อนกลับ ไม่มีย้อนกลับมา โสดาบัน สกิทาคามี ยังมีย้อนกลับมาในมนุษย์ ยังเกิดอยู่อย่างนี้อยู่ นี่ความสัมพันธ์ของมัน ความสัมพันธ์ของธรรมเห็นไหม ความสัมพันธ์ของสัจธรรม สัจธรรมถ้ามันมีอยู่ในหัวใจ มันไม่ใช่เข้าใจแต่ภพชาติของมนุษย์ มันไม่ใช่เข้าใจแต่ภพชาติของเรา และภพชาติของเรื่องกิเลส กิเลสกับธรรม มันเห็นผลเลย

ผลมันเป็นอย่างนี้ ผลมันเข้าใจสภาวะแบบนี้ ถ้าผลมันเป็นอย่างนี้ ผลมันทำได้ขนาดนี้ พอได้ขนาดนี้ ดูสิ ไม่อย่างนั้นครูบาอาจารย์เราจะเทศน์สอนเทวดาได้อย่างไร? เพราะเทวดาเขาเป็นเหมือนเรา เทวดานี่เป็นปุถุชนนะ เทวดา อินทร์ พรหม เป็นปุถุชน เพียงแต่ได้สถานะ คือว่าเขาได้สถานะนั้นมา แต่เขาไม่รู้เรื่องธรรมะหรอก เขาไม่รู้ธรรมะว่าทำอย่างไรจะให้จิตมันพ้นจากกิเลส? แต่ละขั้นละตอนอย่างไร?

เพราะเขาเป็นปุถุชน เป็นเทวดาก็เป็นเทวดาปุถุชน เว้นไว้แต่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติได้โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีแล้วไปเกิดเป็นเทวดา เป็นเทวดาอริยเจ้า เกิดเหมือนกันเห็นไหม เนี่ยสังโยชน์ สังโยชน์มัดจิต ถ้าไปเกิดเป็นเทวดา เทวดาอริยบุคคล ถ้ามาเกิดเป็นคนก็เกิดเป็นคนที่มีอริยภูมิในหัวใจ คนที่มีอริยภูมิในหัวใจ เขาไม่ทำอย่างนั้นหรอก เขาไม่ทำผิดของเขาหรอก

แล้วถ้าเป็นสิ่งที่เข้ากระแส ถ้าเขาสะเทือนอย่างนั้น เขาปฏิบัติไป ปฏิบัติพ้นไปได้เหมือนกัน เขาก็พ้นของเขาไปได้ แต่พ้นของเขาไปได้ เนี่ยการกระทำของเขาเพราะมันมีไอ้นั่นเป็นพื้นฐาน นี่สังโยชน์มันอยู่ที่จิต แล้วสังโยชน์อยู่ที่จิตในสถานะไหนก็แล้วแต่ เรารู้ตรงนี้ไม่ได้ เรารู้สถานะของใจเขาไม่ได้ ใช่ เว้นไว้แต่พระพุทธเจ้านี่ ถูกต้อง

แต่เขาเอง เขาก็มีความสำนึกในตัวของเขา จะเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เพราะมันเป็นไปเองไง เห็นไหมถือว่าศีลนี้มันเป็นวิรัติ เป็นสมุจเฉทวิรัติ มันเป็นโดยธรรมชาติ ศีลมันเป็นโดยธรรมชาติเลย ธรรมชาติของพระโสดาบันเห็นไหม ไม่ผิดศีลห้า ศีลไม่สีลัพพตปรามาส ไม่ผิดในศีล เนี่ยพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี มันเป็นไปตามธรรมชาติของมัน เพราะเป็นธรรมชาติของมันเห็นไหม ไปเกิดในสถานะไหน มันก็เป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น

สิ่งที่เป็นธรรมชาติอย่างนั้น นี่มันเป็นสถานะของจิตใช่ไหม? ถ้าจิตมันเป็นความจริงของมัน นี่สัจธรรม ถ้าสัจธรรมมันเป็นสากล มันอยู่ในลักษณะไหน? มันอยู่ในสถานะใด? มันเป็นตามความเป็นจริง ข้อเท็จจริงอย่างนั้น แต่ถ้ามันไม่มีเห็นไหม ดูสิสิ่งที่มันไม่มีขึ้นมา มันเป็นความเข้าใจของบุคคล เป็นความเข้าใจของกิเลสนะ ถ้ากิเลสมันเข้าใจอย่างนั้น มันก็เป็นสภาวะแบบนั้น

ถ้าจะเป็นสภาวะแบบกิเลส กิเลสมันก็อยู่..กิเลสมันก็ข่มหัวใจอันนั้นไว้ ครอบหัวใจอันนั้นไว้อยู่ใต้นั้น นี่ไง ไม่สุคโต ไม่เป็นความสุขจริงนะ มันเป็นความสุขที่เกิดขึ้นมาโดยเราพยายามรักษา แล้วมันระแวง มันมีความระแวงนะ มันมีระแวง มีสิ่งที่ยอกใจอยู่ ถ้ามันมีความระแวงอย่างนั้น คนเราระแวงระวังตัวมันจะมีความสุขได้อย่างไร? มันไม่มีความสุขหรอก แต่ถ้ามันชำระล้างโดยสะอาดแล้ว นี่จะบอกว่าธรรมะเป็นสากล ไม่ใช่สากลเฉพาะภพชาติเรา

ถ้าเป็นภพชาตินะ ภพชาติของมนุษย์ ถ้าภพชาติของมนุษย์นะ หลวงตาท่านพูดคำนี้นะ ท่านบอกว่าเวรกรรมที่เรายังไม่ได้รับผลนั้น เพราะมีลมหายใจ ลมหายใจคือภพชาติของมนุษย์ไง คำว่ามีลมหายใจ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ยังมีชีวิตอยู่เห็นไหม ชีวิตนี้ได้มาเพราะบุญ เรามีมนุษย์สมบัติขึ้นมา เราเกิดเป็นมนุษย์เห็นไหม พอเกิดเป็นมนุษย์ พอพ้นจากมนุษย์นี้ไป เนี่ยสิ่งที่เวรกรรม มันจะให้ผลตรงนั้น

อันนี้ภพชาติของมนุษย์ ภพชาติ ยังมีลมหายใจอยู่ ลมหายใจยังไม่ขาด มันก็ยังไม่เห็นผล แต่ลมหายใจขาดแล้วมันเห็นผล แต่ในปัจจุบันนี้มีลมหายใจอยู่ แล้วกิเลสมัน บังตา กิเลสมันบังตามันไม่เชื่อ พอไม่เชื่อ มันก็แสวงหาตามแต่อำนาจของกิเลสตัณหาความทะยานเห็นไหม มันน่าเสียดายตรงนี้ น่าเสียดายชีวิตของเรา ถ้ามันทำได้จริง มันจะทุกข์ มันจะยาก มันเรื่องธรรมดานะ มันทุกข์มันยากเพราะทุกข์นี้เป็นอริยสัจ ทุกข์นี้เป็นความจริง มันทุกข์มันยากอยู่แล้ว

ทุกข์ยากกับการดำรงชีวิต กับทุกข์ยากในการประพฤติปฏิบัติเราจะเลือกอะไร? ถ้าทุกข์ยากในการประพฤติปฏิบัตินะ เราก็ต้องต่อสู้ต้องดิ้นรนกับมัน ปฏิบัติกับมัน เนี่ยดันมันอยู่อย่างนี้ อยู่ที่วาสนาของคน ถ้าวาสนาของคนยืนยันได้ ปฏิบัติได้ มันก็ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ ถ้าวาสนามันถึงที่สุดแห่งทุกข์ไม่ได้ มันเท่ากับสร้างอำนาจวาสนาบารมี

พระโพธิสัตว์เขาทำอย่างไร? พระโพธิสัตว์ที่เราเห็นเขาปฏิบัติง่ายๆ ปฏิบัติง่ายก็อยู่ตรงนี้ อยู่ตรงที่เรามีพื้นฐานที่เราสร้างไว้ เห็นไหมภพชาติสั้นเข้า กายนี่ก็สั้นเข้า ภพของจิต ดูสิ ความเร็วเห็นไหม ความเร็วของแสง ความเร็วของความคิด ความเร็วของปัญญา ถ้าปัญญามันมีพื้นฐานเราสร้างบุญกุศลมา ปัญญามันเกิดกับเรา ปัญญามันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา ปัญญามันจะทันกิเลสไง

กิเลสคืออะไร กิเลส คือ ตัณหาทะยานอยากที่ล้นฝั่ง ที่มันอาศัยความคิด อาศัยขันธ์ ๕ ออกไปหาเหยื่อ แล้วถ้าปัญญามันทัน ปัญญาที่มันทัน มันก็ทันความคิดเรา ทันกิเลสตัณหาทะยานอยาก เอากิเลสเอาตัณหาทะยานอยากนี้ไว้อำนาจ เอากิเลสตัณหาทะยานอยากเอาไว้อำนาจของเรา ต่อสู้กับมันเห็นไหม พอต่อสู้กับมัน มันก็ปล่อย มันปล่อย นี่ไงปัญญาอบรมสมาธิ

ปัญญาอบรมสมาธิใช่ไหม? ถ้าเราต่อสู้บ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า จนถึงที่สุด จนถึงที่สุดนะ มันจับได้ มันรู้ได้ มันต้องจับได้รู้ได้ก่อน คำว่าจับได้รู้ได้นี่นะ เวลามันเห็นกิเลสไง มันเห็นกิเลสแต่นี่เราไม่เห็นกิเลส กิเลสกับธรรมะมันเป็นอันเดียวกัน แล้วมันออกไปแสวงหาผลประโยชน์ของมัน ออกไปหาผลประโยชน์นะ ผลประโยชน์คืออะไร? ผลประโยชน์คือไม่ให้เราเห็นตัวมัน ผลประโยชน์คือ มันปล่อยให้เราไม่เห็นตัวมันนะ

เราก็ใช้ปัญญาของเราออกไป มันก็เป็นปัญญาธรรม ปัญญาธรรม ปัญญาที่ว่าธรรมะที่ไม่เป็นสากลไง ธรรมะที่ไม่เข้ากับภพชาติ ธรรมะที่ไม่เข้ากับรูปภพ อรูปภพ เพราะเทวดา อินทร์ พรหม ไม่รู้กับเราหรอก ไม่รู้ถึงคุณงามความดีนะ แต่รู้ในความหลง รู้ในความหลง

ดูสิ ดูพาหิยะเห็นไหม ที่เรือแตกเข้าฝั่ง เขาสำคัญตนเป็นพระอรหันต์นะ พอเข้ามาในฝั่งเห็นไหม ชีเปลือยเข้ามานุ่งใบไม้ ชาวบ้านเขาแตกตื่นว่าเป็นพระอรหันต์ เขากราบไหว้บูชา เขากราบไหว้บูชา ตัวเองก็หลงลาภสักการะมันมาไง เทวดาที่เป็นเพื่อน เป็นเพื่อนกันเคยปฏิบัติมาด้วยกัน แล้วเขาไปเกิดเป็นเทวดานะ มาเตือนเลยเห็นไหม ถ้าเราหลง เราไม่เข้าใจ เราว่าเราหลงนะ เทวดาเนี่ย เทวดาเขารู้ถึงความหลงของเรา เทวดามาเตือนพาหิยะนะ เธอไม่ใช่พระอรหันต์ บัดนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดแล้ว ให้ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเห็นไหม

เขาถึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วไปขอฟังธรรม ไปขอฟังธรรมพระพุทธเจ้าเลย พระพุทธเจ้าบอกบิณฑบาตอยู่ฟังไม่ได้ คนเราชีวิตมันไม่แน่นอน เนี่ยพยายามขอ “เธอจงรู้สักแต่ว่ารู้” คำว่ารู้สักแต่ว่ารู้เนี่ย เห็นไหม ดูสิ เขาสำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์ เขาเคยประพฤติปฏิบัติมาตั้งแต่ที่หน้าผาตัดเห็นไหม เขาเคยประพฤติปฏิบัติกันมา เนี่ยขึ้นไปบนหน้าผาตัด ๕ คน แล้วถีบบันไดทิ้งเลย ถ้าใครสำเร็จแล้วให้เหาะลงมา ถ้าใครไม่ได้ให้ตายอยู่บนนั้น เนี่ยสำเร็จเป็นพระอรหันต์หนึ่งองค์ สององค์ แล้วอีกองค์เป็นพระอนาคามี ตายอยู่บนนั้น ๒ คน

ความอันนั้นเป็นพื้นฐานเห็นไหม เนี่ยสักแต่ว่า สักแต่ว่าเพราะ

๑. มีพื้นฐานมาจากจิต

๒. สำคัญว่าตนเป็นพระอรหันต์

มันมีหลักเกณฑ์มีอะไรของมัน สำคัญที่ว่าทุกอย่างสักแต่ว่า เราต้องมีหลักเกณฑ์ก่อน ถ้าเราไม่มีหลักเกณฑ์ เด็กๆ นี่ทุกอย่างสักแต่ว่า ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ใช่! เด็กต้องมีการศึกษาก่อน ต้องมีความเข้าใจก่อน แล้วบอกว่ามันเป็นของประจำโลกนะ เราอาศัยมันเป็นประโยชน์เฉยๆ แต่ถ้าเด็กมันสักแต่ว่า สักแต่ว่าก็ของเรา ก็หยิบเอาเลยสิ ติดคุกนะสิ ของมันเป็นสักแต่ว่า เห็นไหมของในห้างสรรพสินค้ามันเป็นสักแต่ว่า ไม่มีเจ้าของนะ ไปหยิบเอาสิ ติดคุก

สักแต่ว่ามันสักแต่ว่าในหัวใจ แต่ในเรื่องของโลกมันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน พอสักแต่ว่า สักแต่ว่า ใจมันต้องมีหลักมีเกณฑ์ก่อนว่า สักแต่ว่าเห็นไหม เธอจงมองโลกนี้เป็นความว่าง แล้วกลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิ อย่างเช่น เช่นบอกสมาธิก็ต้องมีผู้รู้สมาธิ ว่างก็เป็นผู้รู้ว่าว่าง สติก็ต้องเป็นผู้รู้ว่าสติ ทุกอย่างมันมีความรู้ มีคนเป็นเจ้าของ มีความรับรู้ ไม่ใช่ว่าสติก็คือสติ แล้วก็มันเป็นวัตถุไปหมดเลย แล้วยกตัวเราออกไง ยกจิตนี้ออกไป ยกความสุขความทุกข์นี้ออกไป ไม่ยอมรับรู้กับอะไรเลย

แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เรารับรู้สิ่งนั้นเป็นเรา สมาธิก็เป็นเรา เราเป็นสมาธิ ทุกอย่างเป็นเราหมดเห็นไหม มันมีผู้รับรู้ แต่ถ้าว่ากิเลสเป็นเราไม่ได้ กิเลสเป็นเรา ทุกอย่างเป็นเรา ทำอะไรไม่ได้เหนื่อยหมด ทุกอย่างทำอะไรลำบากหมด มันเป็นเรา เพราะเราอ่อนแอ พอเราอ่อนแอเห็นไหม แต่เวลาเราปฏิบัติธรรม ธรรมเป็นเรา เวลาธรรมเป็นเรา เรากลับไม่เห็นนะ เรารับรู้อย่างไร? เรามีความเป็นไปอย่างไง? นี่ไงมันมีสติปัญญาของมันขึ้นมา

เวลาปัญญาเห็นไหม เวลามรรคญาณ งานชอบ เพียรชอบ ดำริชอบ ท่านบอกว่าถ้ามีตัวตนขึ้นมามรรคสามัคคีไม่ได้ ไม่มีเราบวก ไม่มีเราบวกเห็นไหม เรารู้ถึงสมาธิ สมาธิเป็นสัมมา สัมมาเราไม่มีอยู่แล้ว เพราะตัวตนมันหลงกล หลงสมาธิได้ พอสมาธิได้ ปัญญามันเกิดขึ้น เนี่ยมรรคสามัคคี มรรคมันรวมตัวขึ้นมา ธรรมจักรมันหมุนขึ้นไป มันเห็นนะ คำว่าเป็นเราๆ มันเป็นการสื่อความหมายว่ามีสติ มีปัญญาควบคุม แต่ไม่ใช่เป็นเราด้วยความยึดมั่นถือมั่น

แต่ถ้าเป็นตัวตน มันเป็นเราเพราะความยึดมั่นถือมั่น ทุกอย่างเป็นเรา ทุกข์ก็เป็นเรา สรรพสิ่งก็เป็นเรา แต่สติปัญญาที่มันรู้ถึงสมาธิ รู้ถึงปัญญา มันไม่ใช่เรา มันรับรู้เป็นสัมมา สัมมาเป็นกลาง สัมมาเป็นรสรับรู้ แล้วปัญญามันเกิดขึ้นมา มันชำระกิเลสขึ้นมา มันเป็นประโยชน์กับการประพฤติปฏิบัติหมด นี่พูดถึงว่าถ้าธรรมะเป็นกลางเห็นไหม มันเข้าได้กับสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเข้าได้กับองค์ครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติโดยทางเป็นจริง

มันเข้าได้กับเทวดา อินทร์ พรหม ที่รู้เห็นผลตามความเป็นจริง เพราะเทวดา อินทร์ พรหม เขาก็มีเป็นเทวดาอริยภูมินะ พรหมก็มีพรหมอริยภูมินะ พระอนาคามีไปเกิดเป็นพรหมเยอะแยะไปหมด การประพฤติปฏิบัตินะ ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์เทศนาว่าการที เทวดาตรัสรู้เป็นแสนเป็นล้าน รู้บรรลุธรรมเป็นแสนเป็นล้านเห็นไหม แล้วเป็นแสนเป็นล้านนี่ก็เวียนตายในวัฏฏะเห็นไหม

แล้วเราก็เวียนตายเวียนเกิดมาเหมือนกัน เราก็มีหลักมีเกณฑ์เหมือนกัน เราถึงได้ประพฤติปฏิบัติ เราถึงได้ตั้งใจทำความจริงของเรา เราจะตั้งใจแล้วเราประพฤติปฏิบัติของเรา เพื่อให้ได้ผลตามความเป็นจริง ธรรมะให้มันได้สัจธรรมอันนี้ แล้ว สัจธรรมอันนี้ เวลามันเกิดขึ้นมาเห็นไหม สันทิฏฐิโก ปัจจัตตัง ชนมันเลยนะ จิตมันเป็นเอง ทุกอย่างเป็นเอง พอจิตเป็นเองเป็นอย่างไร? อกุปปธรรม กุปปธรรม

อกุปปธรรม ศัพท์ปัจจุบันนี้ มันเป็นอกุปปธรรม มันแปรสภาพของมัน มันเคลื่อนไหวของมัน มันเป็นไปของมัน โดยธรรมชาติของมัน เวลาประพฤติปฏิบัติไปนะเป็นอกุปปธรรม สิ่งที่มันแปรปรวนตลอดเวลา มันพลิกกลับไปโดยที่ไม่แปรปรวนนี้ได้อย่างไร? มันมหัศจรรย์มาก สิ่งที่แปรปรวนเนี่ย นามธรรมเหมือนกันนี่แหละ มันแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา เป็นอกุปปธรรม มันจะไม่เคลื่อนที่ มันจะไม่แปรปรวนอีกแล้ว ในขั้นของที่มันผ่านนะ แต่สิ่งที่เจริญขึ้น สกิทาคามีขึ้นไป นี่มันยังแปรปรวนอยู่ แต่มันก็พยายามประพฤติปฏิบัติเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นไป

อกุปปธรรม ธรรมะเหนือธรรมชาติ ที่ว่าธรรมะเหนือธรรมชาตินี่ มันไม่มีใคร แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือใครก็แล้วแต่จะถอดถอนไม่ได้ จะทำให้สิ่งนี้เคลื่อนขับเคลื่อนจากสิ่งที่มันเป็นไปแล้ว เป็นไปไม่ได้เลย ถึงจุดนี้แล้วต้องเป็นอย่างนี้ตลอดไป สิ่งนี้มันเป็นข้อเท็จจริงโดยสัจธรรมของเขา ไม่มีใครไปทำไว้ให้เป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ ธรรมะมีอยู่ในธรรมชาติ ธรรมะมันเป็นอย่างนี้โดยธรรมชาติ มันมีของมันโดยสัจธรรม

แล้วเราเองต่างหากปีนป่ายไปไม่ถึงจุดนี้ แล้วมันเป็นแบบนี้ไปไม่ได้ไง ธรรมะของเราเป็นธรรมะโลกๆ ไง ธรรมะของกิเลสไง แต่ถึงจุดนี้แล้ว เป็นอย่างนี้แล้ว ไม่มีใครจะไปทำเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย สิทธิเสรีภาพ เสมอภาค เป็นภราดรภาพของแต่ละบุคคลที่เป็นอย่างนี้โดยธรรมชาติของมัน แล้วขึ้นไปถึงตรงนี้แล้ว เนี่ยธรรมะ ธรรมมันเป็นอย่างนี้ โดยสัจธรรมอย่างนี้ แล้วเป็นประโยชน์กับการประพฤติปฏิบัติ

มันเกิดจากใจเรานะ เกิดจากการกระทำของเรา เกิดจากความเข้มแข็ง เกิดจากความมุมานะ ฉะนั้นถึงว่าเวลามันทุกข์มันยาก ดูอย่างหลวงตาท่านพูดบ่อย พระโสณะเดินจนฝ่าเท้าแตก พระจักขุบาลนะนั่งจนตาบอด ไอ้เรื่องกรรมเก่าก็ส่วนกรรมเก่า เขาสร้างกรรมกันมาทั้งนั้น แต่ปัจจุบันเขาก็ทำของเขาเต็มที่ เวลาเราประพฤติปฏิบัติเอาตรงนี้มาเป็นกำลังใจ เอามาเป็นกำลังใจแล้วเราประพฤติปฏิบัติไป ให้ได้ข้อเท็จจริงให้ได้ความจริงมา

ถ้าความจริงอันนี้ได้ขึ้นมาแล้ว มันเป็นความจริงแก่เราไป เราไม่ต้องไปเร่ร่อนกับใคร ไม่ต้องไปเชื่อใคร ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง สัจธรรมเป็นที่พึ่ง แล้วเอาที่พึ่งอันนี้ให้ได้ แล้วที่พึ่งอันนี้มันเกิดขึ้นมา เนี่ยหน่อของพุทธะมันเกิดขึ้นมาจากใจของเรา หน่อแห่งพุทธะเกิดจากการประพฤติปฏิบัติ เกิดจากการกระทำ ไม่ต้องไปถือมงคลตื่นข่าว ไม่ต้องไปฟังใคร เอาประโยชน์กับเราอย่างนี้เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง